สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน EV-Innovation ภายใต้นโยบาย อว. For EV ร่วมกับสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) และเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เปิดตัว “ภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก” ภายในงาน International Energy Storage Forum 2024 – TESTA Annual Symposium ครั้งที่ 4 เพื่อร่วมกันยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ ให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนทางด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้ยานยนต์ พร้อมก้าวสู่เป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น EV Hub ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยโดยท่านนายกรัฐมนตรี มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น EV Hub ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีมาตรการส่งเสริม EV มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ และ Supply Chain ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศ โดยกระทรวง อว. ได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ประกาศนโยบาย “อว. for EV” ภายใต้แผนพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยมีแนวทางการดำเนินการใน 3 เสาหลัก คือ 1. EV-HRD พัฒนาบุคลากรด้าน EV 2. EV-Transformation เปลี่ยนผ่านหน่วยงานใน อว. ให้นำร่องใช้รถ EV แทนรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) และ 3. EV-Innovation ผลักดันการวิจัยพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ ซึ่งการเปิดตัวภาคีเครือข่ายความร่วมมือฯ ภายใต้การนำร่องร่วมกันของ 6 หน่วยงานก่อตั้ง ได้แก่ TESTA สวทช. สกสว. สอวช. สยย. และ EVAT ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และเครือข่ายภาคเอกชนต่าง ๆ จนนำมาสู่การขยายผลเป็นภาคีเครือข่ายระดับประเทศ จะช่วยผลักดันให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนทางด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนคนไทย
ด้าน รศ.ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ รองผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวเพิ่มเติมว่า สกสว. ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน EV-Innovation ภายใต้นโยบาย อว. For EV และเป็นสมาชิกก่อตั้งภาคีเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก มีเป้าหมายในการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ และอุตสาหกรรมการกำจัดซากแบตเตอรี่ ซึ่งจะสามารถตอบเป้าหมายตามนโยบายของคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ที่ตั้งเป้าในการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในประเทศไทย ภายในปี 2573
